สาวชิงรถคัมรี่ลุงวัย75ปีมอบตัวตำรวจ แม่ก้มกราบขอโทษอ้างลูกป่วยจิตเวช ด้านลุงยอมให้อภัยยันไม่ได้เป็นกิ๊ก
ตำรวจนครบาลลุมพินีคุมตัว น.ส.กรรณิกา อายุ 30 ปี ลูกจ้างองค์การบริหารส่วนตำบล อบต.แห่งหนึ่ง ในจังหวัดเพชรบูรณ์ มาสอบปากคำกรณีก่อเหตุ ชิงรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ ของ นายมงคลรัตน์ อายุ 75 ปี ขณะเรียกใช้บริการผ่านแอปพลิเคชั่นจากบายพาสชลบุรีเพื่อไปส่งที่หมอชิต กรุงเทพฯ ช่วงลงด่านพระราม 4 ก่อนที่จะยื้อแย่งกุญแจรถ และขับรถหลบหนีไป
โดย นางบุญยืน อายุ 55ปี มารดาของ น.ส.กรรณิกา ผู้ก่อเหตุเล่าให้กับทีมข่าวฟังว่า รู้สึกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับนอนไม่หลับ ตั้งแต่คืนวันที่ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากลูกสาวได้ออกจากบ้านที่จังหวัดเพชรบูรณ์ จนกระทั่งมาทราบข่าวว่าลูกได้ก่อเหตุชิงรถก่อนที่จะประสานตำรวจพาลูกสาวเข้ามอบตัว โดยเล่าว่าหลังลูกสาวเรียนจบมหาวิทยาลัยได้เข้าทำงานที่โรงพยาบาลอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และได้ซื้อรถให้เพื่อใช้ในการเดินทางไปทำงาน แต่เกิดอุบัติเหตุต้องชดใช้ค่าเสียหายให้คู่กรณีเป็นเงินกว่า 2 แสนบาท
จากนั้นลูกก็เกิดอาการเครียดจนเองจึงให้ลาออกจากงานเดิมและมาทำงานอยู่ที่ อบต.แห่งหนึ่งในพื้นที่ใกล้บ้าน โดยทำได้ประมาณ 2เดือน แต่ก็มีพฤติกรรมคล้ายคนมีอาการหลอน เข้าห้องน้ำนาน อ้างว่ามีคนจะมาทำร้ายและชอบดึงผมตัวเอง โดยตนเองมีความคิดว่าจะพาลูกไปรักษาอาการจิตเวช จนกระทั่งมาทราบว่าลูกได้ไปชิงรถคุณลุงที่ชลบุรี ก่อนที่จะขับไปจังหวัดเชียงใหม่และขับกลับไปที่เพชรบูรณ์ จึงได้ประสานกับตำรวจเพื่อให้มารับตัว พร้อมยืนยันว่าลูกไม่มีเจตนา
นางบุญยืน เล่าว่าในวันที่ลูกออกจากบ้านที่เพชรบูรณ์ได้ขับรถยนต์ส่วนตัว ไปจอดทิ้งไว้ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 4 แยก 11 ซึ่งเป็นบ้านเพื่อน แต่ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวจอดไว้นานหลายวันแล้ว ทางตำรวจจึงเข้าใจว่าเป็นรถยนต์ต้องสงสัย จึงได้ยกไปเก็บไว้ซอยรามอินทรา 5 ทำให้ลูกสาวจำไม่ได้และคิดว่ารถตัวเองขโมย จึงได้ไปก่อเหตุชิงรถคนอื่น เนื่องจากมีอาการเครียด
อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่อยู่ที่สถานีตำรวจ นางบุญยืน มารดาของผู้ก่อเหตุได้เจอกับนายมงคลรัตน์ ลุงเจ้าของรถที่ลูกสาวชิงไป จึงได้เข้าไปก้มกราบขอโทษ พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ลุงฟัง ซึ่งลุงเจ้าของรถยินดีให้อภัยและไม่ถือโทษ
โดย ลุงเจ้าของรถคัมรี่ กล่าวว่า ขณะนี้ก็ยังรู้สึกปวดระบมจากการบาดเจ็บบริเวณด้านซ้ายของลำตัวและขา ตั้งแต่วันเกิดเหตุก็เพิ่งได้เจอกับผู้ก่อเหตุวันนี้ ซึ่งได้มายกมือไหว้ขอโทษหลังจากฟังแม่ของผู้ก่อเหตุเล่าตนเองจึงให้อภัย พร้อมเล่าว่าในวันเกิดเหตุ ผู้โดยสารได้มีการเรียกใช้บริการให้ไปรับที่ปั๊มน้ำมัน ย่านหนองข้างคอก จว.ชลบุรี แต่เมื่อไปถึงที่นัดหมายกลับไม่เจอผู้โดยสาร จึงได้ลงจากรถและพยายามโทรศัพท์ติดต่อ แต่จู่ๆ ผู้โดยสารก็ขึ้นมานั่งที่คนขับรถและอ้างว่าจะรีบไปหมอชิตโดยขอเป็นคนขับเอง ถุงตาข่ายพลาสติก ถุงตาข่ายใส่ส้ม
Advertisement
โดยลุงก็เชื่อใจเนื่องจากเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ อีกทั้งคิดว่านานๆ ที่จะเป็นคนนั่งและมีสาวๆ เป็นคนขับให้ (พูดติดตลก) ก่อนที่รถจะวิ่งมาได้ประมาณ 10 กม.ฝ่ายผู้ก่อเหตุก็ได้ออกอุบายว่าจะว่าจ้างไปจังหวัดเชียงใหม่ โดยให้เงิน 30,000 บาท ทำให้ตนเองฉุกคิดว่าน่าจะมีปัญหาแล้ว จึงออกอุบายว่าตนเองไม่มีเงินที่จะเติมแก๊สและเสียค่าทางด่วน
จึงพยายามให้ผู้ก่อเหตุจอดรถเพื่อกดเงินจากตู้ATM กระทั่งมาถึงแยกเพชรบุรีตัดใหม่ขาเข้า ประกอบกับการจราจรติดขัด และตัดสินใจเอื้อมไปหยิบกุญแจแต่ก็มีการยื้อแย่งกันภายในรถ แต่ก็ไม่สามารถสู้แรงผู้ก่อเหตุได้ โดยผู้ก่อเหตุได้เปิดประตูรถพร้อมกับลากตนเองออกมาทางด้านคนขับ ทำให้ตนเองได้รับบาดเจ็บก่อนที่ผู้ก่อเหตุจะเข้าไปขับรถหลบหนีไป
ส่วนกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าตนเองเป็นกิ๊กกับผู้ก่อเหตุหรือไม่นั้น ได้ยืนยันว่าขนาดจะปัสสาวะยังลำบากเลย (จะไปมีกิ๊กได้ยังไง) และไม่เคยรู้จักกับผู้หญิงที่ก่อเหตุมาก่อน และแสดงความบริสุทธิ์ใจพันเปอร์เซ็นต์ไม่มีเรื่องชู้สาวอย่างแน่นอน ส่วนที่ออกมาขับรถรับจ้างเพราะอยากหารายได้ให้กับครอบครัวและไม่อยากเป็นภาระของลูกหลาน และแม้จะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้นตนเองก็ไม่รู้สึกกลัวหรือเข็ด ส่วนผู้ก่อเหตุทราบว่าทางบ้านฐานะดีแต่อาจจะเกิดความเครียดที่ประสบมา จึงไม่ได้ถือโทษและไม่ได้โกรธ ส่วนทางคดีก็ให้ตำรวจดำเนินการไปตามกฎหมาย
ด้าน พ.ต.อ.นิมิตร นูโพนทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี กล่าวว่าผู้ก่อเหตุสามารถให้การรู้เรื่องต่อพนักงานสอบสวน ส่วนการที่ทางญาติอ้างว่าผู้ก่อเหตุมีอาการป่วยทางจิตเวชก็จะต้องมีการนำหลักฐานที่สามารถบ่งชี้ว่าผู้ก่อเหตุมีอาการป่วยจริงมาแสดงต่อพนักงานสอบสวน ซึ่งตามขั้นตอนตำรวจจะต้องนำผู้ก่อเหตุไปผัดฟ้องฝากขังต่อศาลอาญากรุงเทพใต้วันนี้ (11 ก.พ.)